การเตรียมงบประมาณสำหรับสื่อโฆษณา กับงานถ่ายภาพ เพื่อจ้าง ช่างภาพ

ทำไมถึงต้องมาพูดเรื่องนี้ เนื่องจากยังมีความเข้าใจผิดหรือการประหยัดงบประมาณ หรือผู้ประธุระกิจใหม่ ยังไม่มีความเข้าใจในการเตรียมงบและการสร้างสื่อสำหรับงานโฆษณาของตัวเอง

Screen Shot 2557-06-09 at 1.32.27 PM

……….ท่านผู้ประกอบธุระกิจ หรือ เจ้าของสินค้าเคยคิดไหมว่า สินค้าผลิตภัณฑ์สินค้านั้นมีการออกกันมามากมายในตลาดมีทั้งการทำการตลาด Marketing Plant สูงมากแล้วเราจะอยู่รอดได้อย่างไรในขณะที่มีการแข่งขันในตลาดสูง  เนื่องจากผมเป็นช่างภาพสายโฆษณา เลยได้ข้อมูลต่างๆมามากมายจากลูกค้าหลากหลายแนวความคิด บางครั้งก็มีการเสนอแนะอะไรต่างๆ ให้กับลูกค้าที่ทำธุระกิจอยู่เพื่อให้อยู่รอดจากการทำการตลาดที่มีการ แข่งขันสูง

แนวคิดที่ว่า

1. ต้องการประหยัดงบประมาณให้มากที่สุด

2. เพิ่งเริ่มธุระกิจใหม่ยังไม่อยากลงทุนอะไรมากมาย

3. ช่างภาพมีมากมายหลากหลาย ทุกคนคงถ่ายได้เหมือนกันหมด

4. ไม่อยากทำอะไรให้วุ้นวายอยากได้อะไรที่เสร็จเร็วๆ ง่ายๆ

……..การจัดงบประมาณที่เหมาะสม คือสิ่งที่ถูกต้อง ไม่ได้เอาอารมณ์ ความรู้สึก ความคิดว่าอย่างนั้นแพง อย่างนี้ถูก อย่างนี้ต้องประหยัดได้ อย่างนี้ไม่อยากจ่าย….อื่นๆ  ถ้าท่านคิดอย่างนี้ท่านก็คงเข้าวังวนการทำธุระกิจแบบที่ไม่สามารถสร้างความโดดเด่น แบรนด์ ให้ประสบความสำเร็จขึ้นได้ เพราะท่านไม่ได้ดูคู่แข่งหรือศึกษางานการตลาด Marketing Plant ไว้ก่อน แล้วจะต้องทำอย่างไร แล้วมันมีอะไรดี ทั้งหมดนี้ผมขอผู้ถึงเกี่ยวกับงานจ้าง ช่างถ่ายภาพ งานบริการถ่ายภาพ และส่วนที่เกี่ยวเนื่องเท่านั้น ส่วนอื่นๆ ท่านสามารถหาข้อมูลและศึกษาต่อได้

……..ภาพลักษณที่ดี ง่ายต่อการจดจำ คือสิ่งที่จะเรียกความสนใจ คือสิ่งที่จะบงบอกถึงความเป็นตัวตนของสินค้า เกรดสินค้า แบรนด์ ที่จะสื่อไปยังลูกค้า ก็คือภาพถ่าย ถ้าหากท่านต้องการความโดดเด่น ไม่เหมือนใครๆ ที่มีภาพลักษณ์ที่ดี อยู่รอดได้จากการแข่งขันกันที่สูง อาจต้องมีการวางแผนการทำงบประมาณการลงทุนเพื่อ Marketing Plane ที่ดี และกล้าที่จะลงทุนในเรื่องนี้ ไม่ใช้การประหยัดงบกันเกินเหตุ อันมาจากความรู้สึก หรือการที่ไม่รู้ไม่ได้ศึกษา   ดังนั้นท่านเคยสังเกตุไหมทำไมแบรนด์ดังๆ เขากล้าที่จะลงทุนเพื่อสร้างภาพที่เป็นงานสร้างสรรค์และกล้าลงทุนกันอย่างมหาศาล อาจจะเป็นงบประมาณ ถึง 20-40 % ของรายได้ผลกำไรทั้งหมด ก็คือเพื่อความยังยื่นของแบรนด์สินค้า ไม่ใช้ขายได้แค่ครั้งเดียว แล้วปีต่อไปก็จบกันหรือต้องการกำไรครั้งเดียวเพราะเห็นว่ามันคือกำไรมหาศาลไม่อยากจ่าย อย่างนี้ก็คงเป็นการเข้าใจผิด ท่านอาจหารายละเอียดการศึกษาเรื่องนี้จากแบรนด์ดังๆ ระดับโลก หรืออะไรที่เป็นรู้จักกันก็ได้ มีอย่างมากมายในเวปไซด์  พูดมานานแล้วมันเกี่ยวอะไรกับงานถ่ายภาพ หรือจะจ้างช่างภาพแบบไหนที่เหมาะที่ควร

…….แล้วจะทำอย่างไรกับ Marketing Plant ผมก็จะต้องอธิบายไว้คราวๆ แบบง่ายดังนี้ เช่น สินค้าA ราคา 1,500 บาท ( ราคาขาย) ความขาดหวังที่จะขายได้ทั้งปี แนวโน้นหรือสินค้าที่ท่านสั่งขั้นต่ำในรอบนั้นในปีนั้น 1,000 ชิ้น  ถ้าขายได้ทั้งหมดท่านจะได้รายได้ 1,5000 X 1,000 = 1,500,000 บาท  กำไรจากต้นทุนการผลิตคือ 50% ก็จะเป็นยอด  1,500,000 X 50% = 750,000 บาท อุ๊ยกำไรแยอะมาก…ปีนี้   แล้วจะทำไงดีเพื่อปีหน้าหรือปีนี้ที่จะเริ่มต้นให้ได้กำไรจากการลงทุนด้าน Marketing Plant คือ ท่านอาจจะแบ่งงบกำไรมาสัก 20-50% นี้มาเพื่อการทำ Marketing สมมุติว่าท่านกล้าลงทุนเพื่อให้แบรนด์สินค้านี้ติดในตลาด ก็จัดงบมาได้ 750,000 X 50% = 375,000 บาท

งบทั้งหมดนี้สำหรับสินค้า 1 ตัว สมมุติว่าท่านมีสินค้า 5 ตัว จะเป็นเงิน 375,000 X 5 = 1,875,000 บาท  สูงมากแล้วจะจัดงบนี้อย่างไร การจัดงบในส่วนต่อมาคือ

1. สื่อ สิ่งพิมพ์ ค่าลงโฆษณา  40% (เช่น ค่าเช่าหน้าหนังสื่อพิมพ์ เช่าหน้าโฆษณา)

2. Production 50%  ภาพถ่ายภาพนิ่ง สิ่งแรกที่ทำได้ง่าย ส่งไปสื่อต่างๆได้ง่ายและทั่วถึง หรือจะเป็น Media อื่นๆ ที่สำคัญ

3. Presenter  10% (เช่น นางแบบแอมบัสเดอร์ประจำสินค้า อาจไม่ใช้คนเดียวก็ได้)

ตัวเลข % นี้สามารถปรับเปลี่ยนได้ตามกลยุธของท่าน เพราะบางท่านอาจเน้นอะไรที่ไม่เหมือนกัน หรือให้น้ำหนักไม่เหมือนกัน แต่ผมขอพูดถึงเรื่อง Production ซึ้งจะเกี่ยวข้องกับงานถ่ายภาพ หรือภาพถ่ายเข้ามาเกี่ยวข้อง

งาน Production 50% สมมุติว่าท่านจะทำเพียงสื่อเดียวก่อน คือภาพนิ่งจะต้องจัดสรรค์งบประมาณอย่างไร

1. 5% Creative

2. 5% Photographer

3. 5% Graphic

4. 10% สื่อสิ่งพิ่มพ์

3. 10% Prop

4. 10% Service ect

5. 5% Make up Hair Stylish & Stylish

จากงบทั้งหมดก็จะมีงบสำหรับในงานถ่ายภาพมาที่ 5% ยอดโดยประมาณซึ่งจะเป็นยอด 1,875,000 X 5% = 93,750 บาท (แต่จะต้องจ่ายทั้งหมดไหม)  ก็ไม่จำเป็นก็คือท่านสามารถสร้างสรรค์งานถ่ายนี้ เป็นช่วงไตรมาส หรือประเมินงานทุกๆ 3 เดือน หรือ 6 เดือน หรือ 1 ปี(ถ่ายครั้งเดียวเป็นภาพสต๊อก)

แต่ท่านทราบไหมว่ายังมีจะของสินค้า หรือผู้ประกอบการสินค้าจำนวนมากไม่ทราบเรื่องนี้และจัดสรรค์งบไม่ถูก จึงอาจไปจ้างช่างภาพที่ต่ำกว่ามาตรฐานหรือไม่เหมาะสมกับธีมงานที่ท่านได้เตรียมไว้   แล้วช่างภาพมีแบบไหนบ้างละ ก็เห็นทุกคนก็ล้วนมีกล้องเป็นช่างภาพมืออาชีพ คงถ่ายได้เหมือนๆกัน ผมจะขอแบ่งช่างภาพแบบนี้ก่อนนะ เรื่องนี้อาจถูกผิดประการใดต้องขออภัยไว้ด้วยเพราะการแบ่งกลุ่มช่างภาพนี้ยากจริงๆ สำหรับสายงานนี้

1.  ช่างภาพสมัครเล่น ที่รับงานถ่ายภาพบางเป็นอาชีพเสริม

2. ช่างภาพอาชีพ ที่รับงานถ่ายทั่วๆไป เป็นช่างภาพที่ไม่ได้ยึดติดกับมาตรฐาน

3. ช่างภาพอาชีพ เฉพาะทาง เช่น ช่างถ่ายภาพสินค้า ช่างถ่ายภาพจิวเวลรี้ ช่างถ่ายภาพแฟชั่น ช่างถ่ายภาพพรีเวดดิ้ง ช่างถ่ายภาพงานแต่ง ช่างถ่ายอภาพอาหาร ช่างถ่ายภาพโฆษณา มีทั้งแบบมาตรฐานงานถ่าย และไม่มีมาตรฐานงานถ่าย

4. ช่างภาพชั่นนำ  หมายถึงช่างภาพที่มีชื่อเสียง เฉพาะทาง เฉพาะด้าน เพราะที่เขาดังก็จะมีงานที่มีเอกลักษณ์เฉพาะด้าน

มาตรฐานงานถ่ายคืออะไร : คืองานที่มี ความสมบูรณ์ของงาน ความละเอียด การเลือกใช้อุปกรณ์ที่เหมาะสม เหมาะกับงาน ส่งต่องานไปยังผู้ใช้งานได้อย่างมีมาตรฐานเป็นต้น

เรตอัตราค่าบริการละเป็นอย่างไร

งานช่างภาพนี้จะมีการแบ่งเรตอัตราค่าบริการตามสกิลงานถ่ายและมาตรฐานงานถ่ายโดยประมาณ ที่จะมีดังนี้

ราคา 500-1,500 บาท  1,500-2,500 บาท 2,500-3,500 บาท 3,500-5,500 บาท 5,500-10,000 บาท 10,000-30,000 บาท  30,000-100,000 บาท

มันค่อยข้างจะมากมาย ดังนั้นท่านจะได้นำข้อมูลงบประมาณนี้มาเลือกเรตช่างภาพที่ถูกต้องสำหรับการเตรียมงานหรือเหมาะสมกับสินค้า แบรนด์ผลิตภัณฑ์ของท่าน แต่ผมก็ยังเห็นการที่มีการเข้าใจผิดเรื่องช่างภาพค่อยข้างมากมาย นำความรู้สึกมาเป็นตัวตัดสินใจในการเลือกว่างานถ่ายภาพสมควรจะเป็นราคาเท่าไร เช่น สินค้าของแบรนด์นี้อาจเลือกช่างภาพที่อยู่ในเรตที่ไม่เหมาะสมกับท่านก็ได้  ทุกอย่างก็ต้องดูว่างานที่จะถ่ายนี้จะแบ่งเป็นถ่ายอะไร อย่างไร ธีมงานอย่างไร เช่น

งานถ่ายสินค้า  งานถ่ายพรีเซนเตอร์ งานอินทีเรีย งานถ่ายอาหาร งานถ่ายรถ ความยากง่ายในแต่ละงานอาจไม่เท่ากันขึ้นอยู่กับธีมงานต่างๆ แล้วท่านเคยรู้ไหมว่างานถ่ายสินค้าประเภทรถ เขาจ้างช่างภาพในเรตไหน ก็คืองานถ่ายราคาหลัก หมื่น – แสน – ล้าน บาท ผมเองก็เคยได้ร่วมงานของงานถ่ายรถมาแล้วจึงเข้าใจดีกว่างานถ่ายพวกนี้ต้องใช้ สกิลค่อนข้างสูงสำหรับงานที่ดีและละเอียด สำหรับงานมาตรฐาน

เนื่องจากปัจจุบันนี้ราคาอัตราค่าบริการงานถ่ายภาพนี้ค่อยข้างหลากหลายจึงทำให้ลูกค้าลงประเด่นว่าจะดูแต่ราคา หรือจะดูคุณภาพงานหรือทำอย่างไร ผมก็แนะนำได้แค่ว่าลองติดต่อพูดคุยกับช่างภาพท่านนั้นๆว่ามีลักษณะอย่างไร ตอบโจทย์งานหรือสร้างสรรค์งานให้ท่านได้หรือไหม ก็จะช่วยให้ท่านได้เข้าใจในรายละเอียดได้ว่าช่างภาพท่านใดจะเหมาะสมกับงานของท่านหรือท่านจะใช้บริการช่างถ่ายภาพท่านใดเป็นต้น

อย่างไรผมก็ขอให้ข้อมูลพวกนี้ เป็นประโยชน์สำหรับลูกค้าที่ต้องการเลือกช่างภาพสำหรับถ่ายงาน หรือเจ้าของผลิตภัณฑ์ที่จะจ้างถ่ายงาน

0
ถ่ายงาน 4 Hr/Free Fee Studio
0
ถ่ายงาน 8 Hr/Free Fee Studio
0
ถ่ายงาน Image
0
Out Site Start

Comments

comments