ถ่ายภาพแล้วจะเลือกใช้ไฟล์อะไร TIFF & JPEG & AI จากช่างภาพ

ทำไมถึงต้องมาพูดเรื่องนี้ เนื่องจากยังมีความเข้าใจผิดหรือการเลือกไฟล์ขอไฟล์จากช่างภาพนั้น ผู้ประธุระกิจใหม่ ยังไม่มีความเข้าใจในการเตรียมงานและการสร้างสื่อสำหรับงานโฆษณาของตัวเองเพื่อเป็นงานส่งต่อให้ถูกต้องมาดูกันว่า ไฟล์ทั้ง 3 แบบแตกต่างกันอย่างไร

ในปัจจุบันก็ยังมีความเข้าใจกันผิดของลูกค้าที่จ้างงานถ่ายภาพ ว่าตัวเองจะต้องขอไฟล์ชนิดนั้นชนิดนี้ ที่ตัวเองก็ไม่เข้าใจว่าทำไปต้องเป็นไฟล์แบบที่เลือก หรือเคยได้ยินมาว่าต้องใช้ไฟล์แบบนี้ภาพจะไม่แตก ต้องได้รับไฟล์แบบนี้ถึงจะดีที่สุด มาดูกันว่าไฟล์แต่ละแบบแตกต่างกันอย่างไร และจะสามารถขอไฟล์อะไรจากใครได้บ้าง

แนวคิดที่เข้าใจผิดหรือได้ยินมาผิดคือ

1. ขอไฟล์ AI จากช่างภาพเพราะกราฟฟิกบอกว่าไฟล์ภาพจะไม่แตก

2. ขอไฟล์ TIFF เพราะเป็นไฟล์ที่ดีที่สุด

3. ทำไมไฟล์ JPEG มีขนาดเล็กมาก ไม่กี่ Kb or Mb (ปริมาณข้อมูล)

4. อีกอย่าง ขอไฟล์ RAW ด้วนะค่ะ

ตามมาดูกันเลยว่าไฟล์แต่ละชนิดคืออะไรแตกต่างกันอย่างไร

1. AI  ( Vector File)

เป็นนามสกุลไฟล์ภาพชนิดหนึ่งที่มีลักษณะจาก Vector File อาจถูกสร้างได้จากโปรแกรมเช่น Adobe Illustrator หรือโปรแกรมอื่นก็ได้เช่น Auto CAD เป็นต้น

ข้อดีของไฟล์ชนิดนี้คือ การที่ใช้ลักษณะการสร้างาภาพ เส้นสาย ลายเส้นต่างๆ จากการคำนวน ใช้สมการทางคณิตศาสตร์เป็นตัวสร้างภาพ ดังนั้นมันจึงสามารถปรับลดและขยายได้อย่างไรขีดจำกัดและไม่มีการแตก หรือปัญหาของขนาดไฟล์ภาพที่โดนสร้างขึ้น ตัวอย่างที่ใช้งาน คือ ภาพโฆษณาต่างๆ ที่มีเรื่องตัวอักษรเข้ามาเก่ียวข้อง รวมถึง การ์ตูน รูปโลโก้ หรือรูปบ้างประเภทที่ถูกสร้างขึ้นจากสมการทางคณิตศาสตร์ เวลานำไปใช้งาน ก็จะสามารถสื่อสารกับระบบ เครื่องพิมพ์ภาพได้อย่างดี มีความคมชัดสวยงาม ไฟล์ประเภทนี้จะได้รับจากการจัดทำ Art Work ต่างๆ ADs ที่จะส่งโรงพิมพ์ หรือที่โรงพิมพ์จะใช้งานและส่งกลับให้กับเจ้าของไว้ตรวจสอบ

2. TIFF  Tagged Image File Format (Bitmap)

TIFF เป็นนามสกุลไฟล์ชนิดหนึ่งที่นิยมกันมากในทุกๆระบบในสมัยก่อน เพราะทำให้การสื่อสารกันระหว่างระบบสีต่างๆ  Color management สามารถสื่อสารกันได้ตรงและลดปัญหาได้อย่างมาก เพราะ Tiff คือไฟล์ที่ถูกสร้างมาจากไฟล์ชนิด (Bitmap) เหมือนกับไฟล์ JPEG , JPG, BMP, PCX. , TIF, GIF, MSP, PCD เป็นต้น แล้วไฟล์ชนิด (Bitmap) คือไฟล์ที่เป็นการเก็บข้อมูลค่าสีหรือเม็ดสีในแต่ละตำแหน่งมาสร้างภาพเหมื่อนจิ๊กซอที่มี ต่างรางแผนที่ทุกตำแหน่งคอยบอกค่าสี แล้ว Tiff มันต่างจากไฟล์อื่นๆ อย่างไร คือ Tiff เป็นไฟล์ที่ไม่มีการบีบอัดข้อมูลสี หรือจำลองค่าสีเลย และเป็นการใช้ข้อมูลแบบตรงไปตรงมา และยังสามารถเก็บรวบรวม Layer ต่างๆ ได้อีกด้วยหาก ไฟล์นั้นถูกสร้างหรือโดนแก้ไขจาก Photoshop หรือ โปรแกรมอื่นๆ ที่มีเรื่อง Layer เข้ามาเกี่ยวข้อง ทำให้ง่ายต่อการแก้ไขไฟล์ และใช้งาน รวมทั้งยังสามารถส่งต่อไฟล์หรือค่าสีที่แสดงได้อย่างถูกต้องโดยไม่มีปัญหากับผู้ใช้งานแต่ละส่วน ดีขนาดนี้แล้วเขาใช้งานกันไหม ในปัจจุบัน การใช้งานมีน้อยลงด้วยเหตุผลหลายประการ อาทิเช่น ขนาดไฟล์ค่อยข้างใหญ่ ถึงใหญ่มาก (เพราะเป็นไฟล์ที่ไม่มีการบีบอัดข้อมูล) ยากต่อการใช้งานเพราะเครื่องคอมพิวเตอร์หรืออุปกรณ์จัดเก็บต้องมีขนาดมากพอ แต่ในวงการสื่อสิ่งพิมพ์บางประเภทก็ยังมีการใช้งานไฟล์ Tiff ชนิดนี้อยู่

3. JPEG Joint Photographic Experts Group (Bitmap)

JPEG เรียกง่ายๆคือมาตรฐานไฟล์นามสกุลหนึ่งที่อยู่ในรูปของชนิด Bitmap แต่มีการจำลองการเข้าระหัสเพื่อลดปริมาณข้อมูลที่ซ้ำหรือใกล้เคียง เพื่อให้ข้อมูลนั้นมีปริมาณน้อยที่สุด แต่ยังคงใช้งานได้ตามคุณภาพที่ผู้ใช้ต้องการเราจะเรียกหรือได้ยินกันบ่อยๆว่า Quality 100% , 90% ,80%, 40% เป็นต้น ยิ่ง Quality น้อยเท่าไรก็ทำให้ปริมาณข้อมูลน้อยลงเท่านั้น แต่ก็ต้องแลกมาด้วยคุณภาพของไฟล์ภาพที่สูญเสียลงไปด้วยตามลำดับ ณ ปัจจุบัน ไฟล์ JPEG ก็มีการพัฒนา ให้มีความสามารถที่ดีขึ้นเก็บค่าเม็ดสีได้ดีขึ้น ได้กว้างขึ้น เช่น จากเดิมมีค่าเม็ดสี 8 Bit (256 โทนสี) ไปเป็น 16 Bit (65,536โทนสี) เป็นต้น ซึ้นอาจทำให้ได้คุณภาพเกือบจะไม่แตกต่างจากไฟล์ Tiff เลย แต่มีขนาดเล็กลงเป็นอย่างมากซึ่งโดยที่เราใช้งานกันในผู้ใช้ปกติทั่วไป เราจะเป็นได้ว่าทุกคนล้วนแล้วก็ใช้ไฟล์ JPEG กันทั้งนั้น เพราะคุณภาพไม่ได้ด้อยไปกว่ากันมากในระบบเทคโนโลยี่ปัจจุบัน ยกเว้นมีการบีบอัดแบบสูญเสียคุณภาพจำนวนมากคือ Quality <90% อย่างนี้จะทำให้เห็นถึงความแตกต่างของภาพนั้น ใช้งานกันอย่างมากมายในระบบภาพถ่ายในปัจจุบัน และสื่อสิ่งพิมพ์ต่างๆ

4. RAW (RAW File Format)

RAW เป็นชนิดของไฟล์ชนิดหนึ่ง ที่สามารถมีชื่อไฟล์ชนิดต่างๆได้อีกตามชนิดอุปกรณ์ที่ใช้บันทึกภาพ เช่น .DNG , .NEF , .CR2 เป็นต้น ไฟล์ RAW คือไฟล์ข้อมูลดิบที่เป็นข้อมูลจากเซ็นเซอร์รับภาพที่มีการบันทึกค่าสีไว้อย่างครบถ้วนเป็น Data ตามความสามารถของเซ็นเซอร์ และความระเอียดสีของระบบอุปกรณ์ที่ใช้ถ่าย เช่นกล้องต่างๆ DSLR , Medium format เป็นต้น โดยไฟล์ RAW ถ้าถูกจัดเก็บเป็นค่าข้อมูลแล้วก็จะต้องผ่านกระบวนการถอดระหัสเพื่อสร้างเป็นภาพ จากโปรแกรมถอดระหัส หรือ Codex ต่างๆ ของค่ายต่างๆ เช่น ภายในตัวกล้องแต่ละยี่ห้อก็จะมีตัวถอดระหัสอยู่แล้ว หรือใช้จากที่อื่นก็ได้ที่ไม่ใช้ของค่ายของกล้องเช่น Light room , Raw convertor , Photoshop , Capture One , Capture NX , EOS Utility เป็นต้น เพื่อสร้างมาให้เป็น ไฟล์สำหรับใช้งานจริงๆ เช่น TIFF , JPEG , PNG และอื่นๆ ซึ่งไฟล์ RAW นี้ก็จะมีผลกับการทำงานของช่างภาพ และโปรแกรมที่ช่างภาพใช้ทำงานสำหรับถอดระหัส เพราะจะให้คุณภาพการถอดระหัสไม่เหมือนกันตามแบบที่นิยมหรือรูปแบบของช่างภาพแต่ละท่าน เช่น Light room(ราคาหลักพัน) , or Capture One (ราคาหลักหมื่น) ดังนั้น ไฟล์ RAW ส่วนมากช่างภาพก็จะไม่ได้ให้ลูกค้าเพราะไมมีความจำเป็นถ้าลูกค้าไม่เข้าใจการทำงานกับไฟล์ชนิดนี้ หรือไม่ทราบวิธีใช้งาน และไม่สามารถเปิดขึ้นมาได้จากโปรแกรมปกติทั่วไป รวมถึงไม่สามารถแก้ไขหรือดัดแปลงไฟล์ได้อีกเลย ผู้ใช้งานก็จะเป็นกลุ่มช่างภาพในสายอาชีพทุกคน แต่ก็อาจแลกมาด้วยปริมาณไฟล์ขนาดใหญ่พอประมาณในการจัดเก็บ

 

ทั้งหมดนี้คือไฟล์ประเภทต่างๆ ที่ควรรู้จัก หน้าที่การทำงาน แล้วเรามาดูกันว่า ขึ้นตอนการทำงานนั้นจะต้องเป็นอย่างไรไฟล์อะไรควรได้รับจากใคร ผู้ใดเป็นคนใช้งาน

เริ่มต้น (ช่างภาพ) ไฟล์ RAW >>> (Export Process to Picture) JPEG 100%, TIFF >>> Art Director Design ( AI ) มีการเติมฟรอน์ ใส่ลายเส้นต่างๆ >>> โรงพิมพ์ (AI) ( TIFF) (JPEG)
ช่างภาพถ่ายด้วยกล้องต่างๆ ที่มีคุณภาพจะได้ไฟล์ RAW ช่างภาพจะทำการ Process ภาพให้สวยงามโดยใช้โปรแกรม Export ต่างๆ เช่น Capture One CG (Creative Graphic Design) ทำการออกแบบใส่ เส้นพร้อนต่างๆ Save งานเป็น AI Or TIFF เพื่อให้ลายเส้นต่างๆ คมชัดเวลาพิมพ์ คำถามว่า แล้ว JPEG หายไปไหน ก็จะไปเป็นส่วนหนึงของไฟล์ AI แต่จะมีขนาดจำเพาะเจาะจง จากขนาดที่ได้ใช้งาน จะขอไฟล์ AI Or Tiff or JPEG สำหรับงานพิมพ์ที่ดีและสมบูรณ์เพื่อให้ค่าสีที่ถูกต้อง ถ้าภาพไม่มีการเติมกราฟฟิกระบบลายเส้นลงไป เป็นเพียงภาพวาด หรือภาพรีทัส ไฟล์ที่ส่งก็เป็น JPEG ได้เลย

 

 สรุปตอบคำถามเบื่องต้น 4 ข้อด้านบนดังนี้

1. ขอไฟล์ AI จากช่างภาพ เพราะกราฟฟิกบอกว่าไฟล์ภาพจะไม่แตก

ตอบ  ช่างภาพจะสามารถให้ไฟล์ JPEG quality 100% & TIFF ได้เท่านั้นแต่ ถ้าเป็น TIFF ลูกค้าอาจจะต้องยุ่งยากเรื่องจัดเก็บ เพราะไฟล์หนึ่งไฟล์ข้อมูลเป็น ร้อยเมกะไบท สมมุติ ถ่ายภาพ 1000 ภาพ ไฟล์ละ 160 Mb = 1000×160 = 160 Gb มีปริมาณมาก เราจึงนิยม JPEG Quality 100% อาจมีข้อมูลเหลือเพียง 5 Mb ข้อมูลอาจเพียง 5 Gb เป็นต้น ปริมาณข้อมูลนี้จะขึ้นอยู่กับขนาดของภาพด้วย ถ้าถ่ายมาด้วยกล้องที่มีขนาดความละเอียดสูง ขนาดภาพใหญ่ ก็จะทำให้ได้ไฟล์มีขนาดใหญ่ขึ้นไปด้วย (เรื่องขนาดกับปริมาณข้อมูลของไฟล์อาจเป็นคนละเรื่องเดียวกัน เดียวว่างๆ ผมมาเขียนให้อ่านกันต่อนะครับ)

2. ขอไฟล์ TIFF เพราะเป็นไฟล์ที่ดีที่สุด

ตอบ TIFF ข้อนี้ถูกต้องแต่ก็อาจไม่จำเป็นเสมอไป เพราะในเทคโนโลยี่ปัจจุบันการระบบบีบอัดทำได้ดีขึ้นมากกับสมัยก่อนจึงทำให้ใช้ ไฟล์ JPEG ก็เพียงพอ เพราะปริมาณข้อมูลอาจต่างกันขึ้น 10-30 เท่า เลย เช่น JPEG 5 Mb = TIFF 160 Mb เป็นต้น แต่ภาพที่ได้จากไฟล์ JPEG นั้นอาจแยกเกือบไม่ออก ถ้าเปิดทั้ง 2 มาเปรียบเทียบกันเป็นต้น (Tiff เทียบกับ JPEG 100% นะครับ) ค่าข้อมูลที่สูญเสียไปจึงน้อยมากจนแยกไม่ออก ดังนั้นผู้ใช้งานบางกลุ่มเท่านั้นที่ยังมีความจำเป็นต้องใช้งานระบบไฟล์ TIFF ด้วยเหตุผลอื่นๆ ที่จำเป็น

3. ทำไมไฟล์ JPEG มีขนาดเล็กมาก ไม่กี่ Kb or Mb (ปริมาณข้อมูล)

ตอบ ไฟล์ JPEG ก็จะเป็นไฟล์ที่ได้มาจากไฟล์ที่มีการถอดระหัส ดังนั้นข้อมูลที่ซ้ำกันมากๆ ก็จะทำให้ข้อมูลที่ถอดได้มีปริมาณน้อยลง และไฟล์มีขนาดเล็กลง แต่ขนาดไซด์ของรูปยังคงเดิมนะครับ เช่นรูป มีขนาด 200 x 500 Pixel = 100,000 Pixel=100,000 Kb สมมุติใส่ค่าสีลงไป 100,000 สีที่ไม่ซ้ำ ก็จะได้ค่าข้อมูลที่ 100,000 Kb แต่ถ้าในภาพนั้น มีแค่สีขาวกับสีดำ 100 โทนสี ก็จะทำให้ภาพนั้นมีค่า แค่ 100 สี หรือ 100 Kb แต่ยังมีขนาดของภาพที่  100,000 Pixel อยู่ เป็นต้น

4. อีกอย่าง ขอไฟล์ RAW ด้วนะค่ะ

ตอบ ไฟล์ RAW คือไฟล์ที่ได้จากการบันทึกข้อมูล ดังนั้น ไม่สามารถเปิดดูได้ด้วยโปรแกรมธรรมดา และยังต้องมีการ Process ภาพอีกเพื่อให้ได้ภาพตามที่ผู้ถ่ายตั้งใจให้เป็นอย่างที่ต้องการ แต่ถ้าลูกค้าขอไปแล้วใช้งานไม่เป็น เปิดไฟล์ไม่ได้ ปรับค่าต่างๆ ไม่ถูกต้องตามที่ช่างภาพได้ทำไว้ ก็จะทำให้เกิดการเข้าใจกันผิดว่าช่างภาพถ่ายมาผิดบ้าง ถ่ายมาไม่สวยบ้าง สีมันออกตุ่นๆ สีเพียน หรือ ไฟล์ภาพมันใหญ่จังเลย ประเด่นนี้จึงทำให้กลุ่มลูกค้าจะไม่ได้ไฟล์ RAW จากช่างภาพไปเพื่อตัดประเด่นต่างๆออก แต่ถ้าจะขอกันจริงๆ เพราะเข้าใจและใช้งานเป็น ผมว่าช่างภาพก็ยินดีให้นะครับ

เนื่องจากปัจจุบันนี้ราคาอัตราค่าบริการงานถ่ายภาพนี้ค่อยข้างหลากหลายจึงทำให้ลูกค้าหลงประเด่นว่าจะดูแต่ราคา หรือจะดูคุณภาพของงานหรือต้องการถ่ายอะไรอย่างไร ผมก็แนะนำได้แค่ว่าลองติดต่อพูดคุยกับช่างภาพท่านนั้นๆว่ามีลักษณะอย่างไร ตอบโจทย์งานหรือสร้างสรรค์งานให้ท่านได้หรือไหม ก็จะช่วยให้ท่านได้เข้าใจในรายละเอียดได้ว่าช่างภาพท่านใดจะเหมาะสมกับงานของท่านหรือท่านจะใช้บริการช่างถ่ายภาพท่านใด เพราะงานถ่ายภาพนั้นเป็นงานศิลปะบวกกับความใส่ใจ และการพิถีพิถันในรายละเอียดของสิ่งที่จะถ่ายไม่ว่าสิ่งนั้นจะเป็น สินค้า เครื่องประดับ นางแบบ นายแบบ ดารา บ้าน อินทีเรีย เพราะถ้าจะบอกว่า เอาไฟว่างไว้ แล้วก็กดชัตเตอร์ถ่ายภาพแล้วก็เปลียนสินค้าเลยหรือเป็นงานที่ถ่ายด้วยตู้สินค้าบางประเภท ที่ไม่สามารถควบคุมรายละเอียดได้อย่างถีถ่วน อย่างเช่นตัวอย่างงานถ่ายของ IPHONE MC WORLD โดยงานถ่ายผมก็ไม่ต่างอะไรกับเขาเลย ถึงจะเป็นคนไทย แต่ก็ถ่ายงานเหมือนกันกับฝรั่งที่เราเห็นใน Clip เลยทำให้ว่าทำไมราคาไม่ใช้ตัวจะบอกว่า ผู้ว่าจ้างจะเลือกผู้ถ่ายคนนี้  เชื่อแถอะว่าถ้าต้องการให้สินค้าหรือผลิตภัณฑ์ของท่านนั้นโดดเด่นเป็นที่น่าสนใจ และดูดีมีราคา สามารถ Add Value ในตัวสินค้าเพิ่มได้อีกจากภาพลักษณ์ ที่ท่านได้ว่างไว้ มันก็คุ้มค่าเป็นอย่างที่สุด ดังนั้นถ้าคิดจะเลือกผมก็เพราะราคาถูกที่สุดคงเป็นไปได้ยาก แต่ถ้าบอกว่าเลือกเพราะทำงานได้ตามโจทย์ คุณภาพไม่เป็นรองใคร ราคาเหมาะสม อย่างนี้รีบติดต่อผมมาได้เลย ผมยินดีบริการเต็มที่เพราะผมก็อยากผลิตงานดีให้กับลูกค้าทุกท่านที่ให้ผมบริการ ผมเองก็คงไม่เอาชื่อเสียงที่ทำไว้มาเสี่ยงกับงานที่ไม่สมควรจะทำให้ลูกค่าแบบต่ำกว่ามาตรฐาน

อย่างไรผมก็ขอให้ข้อมูลพวกนี้ เป็นประโยชน์สำหรับลูกค้าที่ต้องการเลือกช่างภาพสำหรับถ่ายงาน หรือเจ้าของผลิตภัณฑ์ที่จะจ้างถ่ายงาน

0
ถ่ายงาน 4 Hr/Free Fee Studio
0
ถ่ายงาน 8 Hr/Free Fee Studio
0
ถ่ายงาน Image
0
Out Site Start

Comments

comments